พระมหากัจจายน์
พระมหากัจจายน์ หรือที่เรียกกันโดยทั่วไปว่า พระกัจจายนะ พระมหากัจจาย-นะ หรือ พระสังกัจจายน์ เป็นพระสาวกองค์หนึ่งของพระพุทธเจ้า ท่านได้รับการยกย่องว่าเป็นเอตทัคคะในทางขยายความแห่งภาษิตโดยพิสดาร ประวัติโดยย่อท่านมีดังนี้
พระมหากัจจายน์ เป็นบุตรของพราหมณ์ปุโรหิตของพระเจ้าจัณฑปัชโชติ เกิดที่เมืองอุชเชนี (อุชชายินี) ในแคว้นอวันตี ในสมัยเยาว์วัยท่านเป็นคนรูปงามและได้ศึกษาเล่าเรียนไตรเพทจนจบ มีความรู้และเชี่ยวชาญตั้งแต่เมื่อเข้าสู่วัยหนุ่ม พอบิดาของท่านสิ้นชีวิตลง พระเจ้าจัณฑปัชโชติจึงได้พระราชทานตำแหน่งปุโรหิตในราชสำนักสืบทอดแทนบิดา
ในคราที่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว ทรงเสด็จออกแสดงธรรมสั่งสอนเพื่อโปรดสัตว์โลก ในวัฏสงสาร พระเจ้าจัณฑปัชโชติประสงค์จะ อัญเชิญพระพุทธเจ้าเสด็จไปโปรดชาวเมือง อุชเชนี จึงรับสั่งให้ปุโรหิตกัจจายนะไปกราบทูลเชิญพระพุทธองค์ และในครั้งนั้นเองปุโรหิตกัจจายนะได้ทูลขอพระบรมราชานุญาตอุปสมบทด้วย เมื่อได้รับพระบรมราชานุญาตแล้วจึงเดินทางพร้อมบริวาร ๗ คนไปเฝ้าพระพุทธองค์ หลังจากนั้นปุโรหิตและบริวารได้ฟังพระธรรมเทศนาและได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ จึงทูลขออุปสมบทด้วยเอหิภิกขุอุปสัมปทา
หลังจากอุปสมบทได้ไม่นานพระมหากัจจายน์ได้กราบทูลอาราธนาพระพุทธเจ้าเสด็จไปโปรดชาวเมืองอุชเชนี แต่พระพุทธองค์กลับส่งพระมหากัจจายน์ไปแทน และเมื่อพระเจ้าจัณฑปัชโชติพร้อมพสกนิกรทั้งหลายได้ฟังพระธรรมเทศนาของพระมหากัจจายนะต่างก็เลื่อมใส และได้ประกาศตนเป็นอุบาสก ถือพระรัตนตรัยเป็นสรณะ
ครั้งหนึ่งมหากัจจายน์ได้แสดงภัทเทกรัตตสูตรที่พระพุทธองค์ตรัสโดยย่อให้พระสมิท ฟัง ท่านได้ขยายความโดยพิสดารจนพระสมิทเข้าใจแจ่มแจ้ง เหตุนี้ท่านจึงได้รับการยกย่องจากพระพุทธเจ้าว่าเป็นผู้เลิศกว่าผู้อื่น ในทางขยายความแห่งภาษิตโดยพิสดาร
กล่าวถึงมูลเหตุความเป็นมาแห่งรูปลักษณะของพระมหากัจจายน์ที่ปรากฏให้เห็นในปัจจุบันว่า เดิมทีพระมหากัจจยน์มีรูปร่างและผิวพรรณงดงามดูละม้ายกับพระพุทธเจ้า เมื่อท่านไปในที่ใดก็มักมีผู้เข้าใจผิดว่าเป็นพระพุทธเจ้าเหตุนี้ท่านจึงมีนามอีกนามหนึ่งว่า "พระภควัมบดี" คือมีรูปร่างละม้ายเหมือนพระพุทธเจ้า ความงามของท่านนี้ มีเรื่องเล่าว่า ครั้งหนึ่งบุตรของเศรษฐีเมือง โสเรยยะเห็นท่านรูปงาม จึงพูดด้วยความคะนองปากว่า "พระรูปนี้งามจริงถ้าได้เป็นภรรยาก็จะดีไม่น้อย" พอสิ้นคำพูดเขาก็กลายเป็นสตรีทันที เพราะล่วงเกินต่อพระอริยะเจ้า ด้วยความละอายเขาได้หนีไปเมืองตักกสิลาและได้แต่งงานกับบุตรของเศรษฐีในเมืองนั้นจนมีบุตรหนึ่งคน ต่อมาได้ขอขมาต่อท่าน จึงกลับเพศเป็นชายดังเดิม ตั้งแต่บัดนั้นมา พระมหากัจจายน์ได้อธิษฐานให้ร่างกายอ้วนท้วนมีพุงพลุ้ย เพื่อมิให้คนได้สรรเสริญยกย่องเทียบเทียมพระพุทธเจ้าซึ่งเป็นการไม่สมควร อีกอย่างหนึ่งก็เพื่อจะได้เป็นสาเหตุให้ปุถุชนต้องทำบาปโดยไม่รู้ตัว เพราะคิดอกุศลต่อท่าน
สำหรับความสำคัญในด้านอื่น พระมหากัจจายน์ได้รับการยอมรับจากชาวพุทธนิกายสรวาสติวาทินว่าเป็น ผู้แต่งคัมภีร์อภิธรรมฌานปรัสถานศาสตร์ของมหายาน และแม้แต่ตำราไวยากรณ์ที่ชื่อ กัจจายนมูลหรือมูลกัจจายน์ เชื่อกันว่าท่านเป็นผู้รจนา
ด้วยความเลื่อมใสศรัทธา ชาวพุทธล้านนาจึงนิยมปั้นรูปเคารพของท่านเป็นพระเครื่องในลักษณะที่เป็นพระปิดตา โดยเรียกพระเครื่องดังกล่าวว่า "พระอุ่ม" คำว่าอุ่ม คือการปิดตานั่นเอง นอกจากนี้ยังสร้างพระมหากัจจายน์ไว้ตามวัดต่าง ๆ อย่างที่ปรากฏในโคลงนิราศหริภุญชัยบทที่ ๑๔๑ ได้กล่าวถึงพระมหากัจจายน์ในวัดพระธาตุหริภุญชัยไว้ว่า
นาภีสมสวดสัง กัจจายน์ ปูอาสน์อิงเขนยหลาย ลูกซ้อน เทียนทุงทีปถือถวาย เคนคู่ อวรเอ่ ก็เท่าทิพเจ้าจ้อน เอกอ้างปณิธา
ดังนั้นรูปเคารพของท่านจึงมักถูกสร้างไว้เป็นเอกเทศไม่นิยมประดิษฐานไว้ในพระวิหารร่วมกับพระประธาน ชาวพุทธที่ทำการสักการะบูชาพระมหากัจจายน์ เชื่อกันว่าจะทำให้มีสติปัญญาล้ำเลิศประการหนึ่ง อีกประการหนึ่งเชื่อว่าจะเกิดความสมบูรณ์พูนสุข มีความมั่งคั่งไม่ขัดสน ส่วนผู้ที่มีพระอุ่มจะคงกระพันชาตรี แคล้วคลาดจากภยันตราย อุดมด้วยโชคลาภและเป็นที่รักของมวลมนุษย์และเทวดาทั้งหลาย ด้วยอานุภาพที่พระเกจิอาจารย์ใช้สูตรมูลกัจจายน์ เป็นแม่บทหลักในพิธีปลุกเสก.
ข้อมูลจาก
อาจารย์สนั่น ธรรมธิ สำนักส่งเสริมศิลปวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
<หน้าถัดไป> <กลับหน้าหลัก>
|